การใช้งานและการปรับตั้งค่า COMPRESSER-GATE-LIMITER COMPRESSOR/LIMITER เป็น อุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมระดับความดังของเสียง ไม่ให้สัญญาณเสียงที่ออกไปมีความแรงมากเกินไป รวมทั้งทำหน้าที่อื่นๆด้วย ซึ่งหน้าที่การทำงานภายในเครื่องจะประกอบด้วยหน้าที่การทำงานหลัก 3 ส่วน ดังนี้ 1. EXPANDER/GATE ทำหน้าที่ขยายและเปิดประตู (GATE) ให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องตามความต้องการของผู้ใช้ ว่าจะให้สัญญาณที่มีระดับความแรงมากน้อยเท่าไร ที่จะให้เครื่องเริ่มทำงาน โดยมีปุ่มปรับต่างๆในส่วนนี้คือ 1.1 ปุ่ม THRESHOLD เป็นปุ่มปรับเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานและหยุดทำงาน หน่วยที่ปรับมีค่าเป็น dB เช่นเราปรับตั้งค่าไว้ที่ -45 dB หมายความว่า สัญญาณเสียงที่มีระดับสัญญาณต่ำกว่า -45dB เครื่องจะไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ไม่มีสัญญาณใดๆผ่านเครื่องออกไปได้ และเครื่องจะ เริ่มทำงานเมื่อระดับสัญญาณมีค่าสูงกว่า -45 dB ค่าที่เราตั้งเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานนี้เรียกว่า 'ค่าเทรชโฮลด์' อย่าง ไรก็ตามถ้าเราปรับไว้ที่ตำแหน่งต่ำสุดหรือ OFF หมายความว่า สัญญาณที่มีระดับสุดแค่ไหนก็ตามก็สามารถผ่านเข้าไปในเครื่องได้ นั่นคือสัญญาณจะผ่านเข้าไปได้ทั้งหมดตลอดเวลานั่นเอง การจะตั้งค่าเท รชโฮลด์เป็นเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เครื่องนี้ควบคุมเสียงอะไร เช่น ถ้าต้องการควบคุมเสียงสำหรับไมค์นักร้อง หรือควบคุมเสียงทั้งระบบ ให้ตั้งค่านี้ที่จุดต่ำกว่า -45 dB เพราะต้องให้ระดับเสียงเบาๆออกไปได้ แต่ถ้าควบคุมเสียงของไมค์กลองกระเดื่อง กลองสแนร์ หรือไฮแฮต ก็ให้ตั้งค่าที่สูงกว่า -45 dB ซึ่งมีค่าไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความดังของกลองหรือเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ 1.2 ปุ่ม RELEASE เป็นปุ่มสำหรับหน่วงเวลา คือหลังจากที่ประตู GATE เปิดให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องแล้ว ถ้าไม่มีสัญญาณใดๆเข้ามาอีกหรือสัญญาณ มีค่าต่ำกว่าค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้ เกทก็จะปิด ส่วนอื่นๆของเครื่องก็ไม่ทำงาน ระยะเวลาที่ใช้ในการปิดเกทอีกครั้งหลังจากไม่มีสัญญาณเข้ามาแล้วนั้นเรา เรียกระยะเวลานี้ว่า 'Release Time' ปุ่มที่ทำหน้าที่ปรับระยะเวลานี้คือปุ่ม RELEASE ค่าที่บอกไว้ที่เครื่องคือ Fast หมายความว่าเกทจะปิดอย่างรวดเร็ว หลังจากหมดสัญญาณ และ Slow หมายความว่า เกทจะหน่วงเวลาไว้ระยะหนึ่งจึงค่อยปิด ระยะเวลาเร็วหรือช้าแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะปรับตั้งค่าไว้ ค่า Release Time ของเกทนี้จะตั้งเป็นเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเสียงที่เราใช้งาน เช่นไมค์สำหรับเสียงพูดหรือเสียงนักร้อง ให้ปรับไว้ที่ประมาณบ่ายสองโมง [Slow] เพราะเสียงคนเราจะมีปลายหางเสียงเช่น เสียงตัว สิ. ,สี่.. ,ซิ... ,ซี...เอส....เฮช....ทู...ฯลฯ.. เป็นต้น ปลายหางเสียงเหล่านี้จะได้ไม่ขาดหายไป ส่วนการปรับเสียงจากเครื่อง ดนตรีเช่นเสียงกลองกระเดื่อง ถ้าเราไม่ต้องการเสียงกระพือหลังจากที่เราที่เหยียบลงไปที่หน้ากลองลูกแรก ก็ให้เวลาในการ ปิดเกทเร็วขึ้น Fast หรือเสียงไฮแฮตถ้าเราไม่ต้องการให้มีปลายหางเสียงมากเกินไป ให้เสียงซิบๆๆ..ซี่ๆๆ..ซิบๆๆ...ดีขึ้นก็ให้ปิดเกทให้เร็วขึ้นเพื่อปลายหาง เสียงที่เบาๆจะได้ถูกตัดออกไป **อย่างไรก็ตามปุ่มRELEASE ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE นี้ ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี และบางรุ่นทำเป็นสวิทช์กดให้เลือก** 1.3 ปุ่ม RATIO เป็นปุ่มทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงเป็นอัตราส่วนของ dB เมื่อเทียบค่ากับ 1 เช่น 1:1หมายความว่าสัญญาณจะไม่ถูกลดระดับเลย , 2:1หมายความว่าสัญญาณที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าไหร่ก็ตามจะถูกทำให้ลดลงสอง เท่า **อย่างไรก็ตามปุ่ม RATIO นี้ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี** 2. COMPRESSOR ทำ หน้าที่กดระดับสัญญาณให้ลดลงในอัตราส่วนตามค่าที่เราได้ปรับตั้งไว้ หน้าที่การทำงานของปุ่มปรับต่างๆในส่วนของภาคคอมเพรสเซอร์นี้มีดังนี้ 2.1 ปุ่ม THRESHOLD เป็นปุ่มสำหรับตั้งค่าจุดเริ่มการกดสัญญาณ(จุดเทรชโฮลด์) เช่นเราตั้งค่าไว้ที่ 0 dB สัญญาณจะเริ่มลดลงที่ 0 dB และถ้าปรับตั้งไว้ที่ -10 dB ก็หมายความว่าสัญญาณเสียงจะเริ่มลดลงที่จุด -10 dB (ค่าติดลบมากเสียงจะลดลงมาก) การลดลงของสัญญาณเสียงที่จุดเทรชโฮลด์ นี้ ถ้าเป็นการลดลงอย่างรวดเร็วทันทีทันใด เราเรียกว่า ฮาร์ดนี (Hard-Knee) และถ้าให้เสียงที่ถูกกด(Compress) ค่อยๆลดลงเพื่อให้เสียงฟังดูนุ่มขึ้นเราเรียกว่า ซอฟต์นี(Soft-Knee) ซึ่งมีปุ่มให้กดเลือกใช้งานได้ แต่ปุ่มนี้จะมีชื่อเรียกทางการค้าที่แตกต่างกันไป เช่น ยี่ห้อ dbx เรียกปุ่มนี้ว่า Over Easy ยี่ห้อ Behringer เรียกปุ่มนี้ว่า Interactive Knee การตั้งค่า THRESHOLD เสียงดนตรี เสียงพูด และเสียงร้องเพลงทั่วๆไป จะตั้งค่าไว้ที่ 0 dB เสียง ร้องเพลงประเภท เฮฟวี่ ร็อค ฮิปพอฟ หรือเพลงวัยรุ่นประเภท แหกปากตะโกนร้อง ก็ตั้งไว้ที่ -10 dB ถึง -20 dB ให้ปรับหมุนฟังดูค่าที่เหมาะสม ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป 2.2 RATIO เป็นปุ่มสำหรับทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงมีค่าเป็นอัตราส่วนจำนวนเท่าต่อ 1 ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์กับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้คือ (1) เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 1:1 สัญญาณด้านออกจะไม่ถูกกดลงเลย (2) เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 2:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 2เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกด ให้ลดลงเหลือ +10dB (3) เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 4:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 4เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกด ให้ลดลงเหลือ +5dB (4) Infinite (หมุนตามเข็มนาฬิกาสุด) สัญญาณด้านออกจะถูกกดให้ลดลงเท่ากับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้ การตั้งค่า RATIO เสียง พูด เสียงร้องเพลงทุกแบบ เสียงเครื่องดนตรีทั่วไป ปรับตั้งไว้ที่ 2:1 ถ้าตั้งให้ลดมากไปจะทำให้เหมือนเสียงเกิดอาการวูบวาบกระโดดไม่คงที่ 2.3 ATTACT เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาของการเริ่มต้นกดสัญญาณ(compress) จะช่วยทำให้เสียงมีความหนักแน่นดีขึ้น มีหน่วยเวลาเป็น มิลลิวินาที(mSEC) เสียงพูด เสียงเพลงดนตรีทั่วไป ให้ตั้งค่าไว้ที่ประมาณ 40-50 mSEC เพลงคลาสสิค หรือเพลงที่มีความฉับไวของดนตรี ให้ตั้งไว้ที่ประมาณ 25-30 mSEC 2.4 RELEASE เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาช่วงหยุดการกดสัญญาณ จะทำให้น้ำเสียงนุ่มน่าฟังขึ้น มีหน่วยเวลาเป็นวินาที (SEC) เสียงพูด เสียงดนตรีทั่วไปให้ตั้งไว้ที่ 1.5-2 SEC 2.5 OUTPUT GAIN เป็นปุ่มปรับลดหรือเพิ่มระดับความแรงของสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีค่า ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ โดยมีค่าปรับได้ตั้งแต่ -20dB ถึง +20dB ในการใช้งานปกติให้ปรับค่าไว้ที่ 0 dB 3. LIMITER ลิมิตเตอร์ ทำหน้าที่รักษาระดับสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีความแรงสูงสุดได้ไม่เกิน ค่าที่ตั้งไว้ เช่นตั้งไว้ที่ 0dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุด ไม่เกิน 0dB หรือตั้งไว้ที่ +5dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน +5dB เป็นต้น การตั้งค่าLIMITER เสียงพูด เสียงร้องเพลงทุกประเภท ให้ตั้งค่าไว้ที่ 0dB เสียงดนตรี กลองกระเดื่อง กีต้าร์เบส ให้ตั้งค่าไว้ที่ +5dB ถึง +10dB เสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ตั้งค่าไว้ที่ 0dB การต่อใช้งานเครื่อง COMPRESSOR การต่อใช้งานเครื่องคอมเพรสเซอร์สามารถต่อใช้งาน ตามลักษณะประเภทของงานและตามความต้องการของผู้ใช้ได้ 4 แบบ ดังนี้ 1. การต่อแบบ Channel Insert การ ต่อแบบนี้เป็นการต่อใช้งานที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้เราสามารถปรับแต่งเสียงของคอมเพรสเซอร์ แต่ละแชลแนลได้อย่างอิสระ ทั้งเสียงจาก ไมโครโฟนสำหรับนักร้อง และเสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่แยกจากกัน 2. การต่อแบบ Group Insert การ ต่อแบบนี้จะใช้คอมเพรสเซอร์ จำนวน 2 เครื่อง [4Ch] ในกรณีที่มิกเซอร์มี 4 กรุ๊ป คือ Group 1-2-3-4 ก็ให้เราจัดกรุ๊ป 1-2 เป็น ไมค์เสียงร้องทั้งหมด และกรุ๊ป 3-4 เป็นเสียงดนตรีทั้งหมด 3. การต่อแบบ Mix Insert การ ต่อแบบนี้ใช้คอมเพรสเซอร์ 1เครื่อง (2Ch) ต่อที่ตำแหน่ง Mix Insert ของเครื่องมิกเซอร์ เป็นการต่อใช้งานเพื่อควบคุมเสียงทั้งหมดที่ถูกต่อเข้าที่มิกซ์ การปรับแต่งเสียงก็จะปรับโดยรวมๆกลางๆ 4. การต่อแบบ MIXER to COMPRESSOR การ ต่อแบบนี้เป็นการต่อแบบที่ง่าย สะดวก และประหยัดที่สุด เพราะเป็นการต่อที่นำเอาสัญญาณเอาท์พุทจากมิกเซอร์มาเข้าอินพุทของเครื่อง คอมเพรสเซอร์ และออกจากคอมเพรสเซอร์ไปเข้าเครื่องอีควอไลเซอร์ การปรับแต่งเสียงก็เป็นการปรับแบบรวมๆกลางๆ เพราะทุกเสียงผ่านคอมเพรสเซอร์ทั้งหมด ขอขอบคุณนายวิริยะ คงพระบาท ข้อมูลจาก : http://www.music-parks.com เล่าเรื่อง compressor ........... พูดเปรียบเทียบกันง่าย ๆ compressor เป็นอุปกรณ์ที่ทำก๋วยจั๊บน้ำใส.....ให้เป็นก๋วยจั๊บน้ำข้น......(ฮาครับ.... มีคนเปรียบเทียบอย่างนี้จริง ๆ ) .......จำเป็นต้องมีไหม...หลายคนสอบถาม.....จำเป็นครับ....ไม่งั้นเขาคงไม่ทำขายหรอก...(โอ...ช่างเป็นคำตอบที่มักง่าย..จริง ๆ ) ........ แต่ถ้ามีแล้ว...ใช้ไม่ถูก..ก็อย่ามีดีกว่าครับ.....บทความนี้มีจุดประสงค์ เพื่อให้ความรู้เรื่อง compressor เบื้องต้น...แก่ผู้ที่ยังไม่รู้บางแง่...บางมุมของ compressor ....ส่วนท่านที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว...ก็ผ่าน....หรือจะแบ่งปันในส่วนลึก ๆ ของcompressor บ้างก็ได้ครับ ........ในส่วนแรก..ที่ปุ่มปรับที่เขียนว่า ratio (ในวงเหลืองรูปล่าง) หมายถึงการกำหนดอัตราส่วนในการ compress (บีบอัดสัญญาณเสียง) .....ส่วน รูปบน.....เป็นการแสดงภาพการบีบอัด...รูปซ้ายมือสุด...เป็นการบีบอัดในอัตรา ส่วน 1.5 ต่อ 1 ...สังเกตสัญญาณที่เกินกว่าเกณฑ์(เส้นสีดำ).. .จะถูกกดลงมานิดหนึ่ง(ในวงสี แดง) .....ในรูปกลาง...เป็นการบีบอัดในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ...สังเกตสัญญาณที่เกินกว่าเกณฑ์(เส้นสีดำ)...จะถูกกดลงมา..มากหน่อย(ในวงสีชมพู) .....ใน รูปขวามือ...เป็นการบีบอัดในอัตราส่วน ต่อ 1(infinity) ...สังเกตสัญญาณที่เกินกว่าเกณฑ์(เส้นสีดำ)...จะถูกกดลงมา..มากที่สุด(ในวง สีน้ำเงิน) ……..นี่เป็นเบื้องต้น....ที่นำเสนอท่าน.....ในการใช้ compressor ของท่านให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ ......เวลาหมดครับ.....พบกับคราวหน้า.....ขอให้มีงานท่วมเดือนทุกวงครับ...สาธุ …..threshold (วงสีชมพู)เป็นการปรับค่าอ้างอิงเพื่อให้เครื่องทำงานตามค่าอ้างอิงตัวนี้ .....จาก รูปครับ....ปุ่มปรับ threshold ถ้าเราปรับค่านี่ให้สูง(ค่อนมาทาง+10...ถึง+20)จะเป็นการกำหนดให้เครื่อง ตั้งค่าเกณฑ์(เหมือนตั้งกำแพง)ไว้สูง... สังเกตเส้นที่ลูกศรสีเขียวชี้ ครับ.....เส้นนี้จะเป็นค่าที่ไว้เปรียบเทียบกับสัญญาณเสียง(สัญญาณไฟฟ้า)ที่ เข้ามาว่าเกินเกณฑ์นี้ไหม......ถ้าเกินเส้นนี้ กระบวนการ compressor จะทำงานครับ......จะกด...จะดันมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับค่า ratio ที่เราตั้งไว้(ในวามเห็นที่แล้ว)...... แต่สรุปแล้วเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ สัญญาณไฟฟ้า(ส่วนที่เกินเกณฑ์)ที่ออกมาก็จะไม่ต่ำกว่าเส้น threshold ครับ .......... ส่วนกรณีที่เราตั้งค่า threshold ไว้ต่ำ ๆ (ค่อนมาทาง -10...-20...-40...)เกณฑ์(กำแพง)ก็เตี้ยลงมา(รูปด้านขวามือครับ).......... ศรชี้สีฟ้านั่นแหละครับ ......เมื่อเกณฑ์ในการอ้างอิงเตี้ย......สัญญาณ เสียงที่เป็นสัญญาณไฟฟ้าค่าน้อย ๆ (เบา ๆ)ก็ต้องถูกเข้ากระบวนการ compress ด้วย.....มากน้อยแล้วแต่ค่า ratio ที่เราตั้งไว้เช่นกัน ........... แล้วจะตั้งค่าไหนดีล่ะ..............อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับเครื่องมือของ คุณ.......set threshold ต่ำไปเสียงออกมาก็เบา........สูงไปก็...ดังเกิน. ..ลำโพงขาด....แอมป์ไหม้ .......เสียงแตก....เสียงบี้...พร่า........ ........เอางี้.....เริ่ม จากค่าต่ำ ๆ ก่อน.....แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนไม่เกิดอาการที่เขียนมาบรรทัดที่แล้ว....สำหรับค่า ratio ก็ลองตระโกนดัง ๆ ใส่ mic .. .หรืออัดเครื่องดนตรีแรง ๆ ให้มันทำการลดสัญญาณ.....แล้วสังเกตผลรวมที่ mixer ว่ามัน peak หรือไม่.....ปรับแต่งที่ละนิด เดี๋ยวก็ได้ค่าที่เหมาะสม กับเครื่องของเราเองหละครับ...ขอย้ำนะครับว่า.... เป็นค่าที่เหมาะสมกับเครื่องของเรา....จบครับ ......คราวหน้าก็ถึงเรื่องปุ่มปรับ ATTACK(วงสีแดง) และ RELEASE(วงสีน้ำเงิน)…ครับ...รอนิดนึง compressor ภาค 2 ........ คราวที่แล้วผมเขียนเรื่องการปรับปุ่ม ratio ของ compressor ตั้งแต่ความเห็นที่ 1 โน่น(อื้อฮือ...นานจนลืมไปแล้ว)...ว่าการปรับค่าratio มีผลอย่างไรต่อการทำงาน .......วันนี้ผมนำรูปคลื่นเสียงจริง ๆ ที่ยังไม่ถูกบีบอัดโดยกระบวนการ compressor หรือ limiter ให้คลื่นเสียงที่เกินกว่าเกณฑ์ที่เราตั้งไว้. .(รูปบน...ในวงสีเขียวทั้งบน และล่าง....คลื่นเสียงจะมีทั้งบนและล่าง....เรียกว่าคลื่น + และคลื่น -)....จะเห็นว่ามีส่วนที่เกินกว่าเกณฑ์ที่เรากำหนดไว้ (สมมุติว่าเราตั้ง เกณฑ์ที่...ไม่ให้เกิน 50) ......รูปล่างครับ....เมื่อคลื่นเสียงชุดนี้ ผ่านกระบวนการแล้ว....จะเห็นว่าในส่วนที่เคยเกินเกณฑ์ 50จะถูกบีบอัด...ลดทอนจนไม่เกินเกณฑ์ที่เราตั้งไว้....... ...... ประโยชน์ที่ได้ก็คือเสียงที่จะออกไปที่ลำโพงจะไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้..... ทำให้เสียงที่ออกมาไม่แตกพร่า....หรือลำโพงขาด....แอมป์ไหม้ ....และถ้า เป็นวงจรที่ถูกออกแบบมาดี ๆ หน่อยเสียงที่ผ่านกระบวนการนี้จะเป็นเสียงที่ดีขึ้น...หนักแน่นขึ้น..นิด หน่อย...ขอย้ำว่านิดหน่อยนะครับ........... ..หรือที่ภาษานักดนตรีเรียก ว่า...เสียงมันเหนียวขึ้น ..........มาว่ากันถึงเรื่องปุ่มปรับ attack ที่ compressor ...... จากรูปด้านบนเป็นปุ่มปรับค่า compressor ของ behringer ปุ่มปรับที่ชื่อว่า ATTACK ..(วงสีแดงลูกศรแดง)..เป็นการปรับแต่งให้กระบวน การบีบอัดทำงานในทันทีทันใด ที่...มีการตรวจพบเสียงที่เกินกว่าเกณฑ์......หรือจะให้เครื่องยังไม่ทำงาน ในทันที..(หน่วงเวลาการทำงานออกไปอีก) การหน่วงเวลาที่ให้มาหน่วงเวลาได้ ถึง..300 msec..ในรุ่นนี้ ......สรุปว่าปุ่ม attack มีไว้เพื่อกำหนดให้กระบวนการบีบอัดสัญญาณ...ทำงานในทันที....หรือไม่ทำงานใน ทันที...โดยยืดเวลาออกไป... .และยืดการทำงานออกไป..เท่าไร .......จากรูปล่าง....ถ้าเราปรับ attack ค่าต่ำ ๆ (ทำงานเร็ว ๆ ที่ตรวจพบ).... ส่วนเกินของเสียงในพื้นที่วงแดงจะถูกบีบอัด ..........ถ้าค่า attack ค่ากลาง ๆ ....ส่วนเกินของเสียงในพื้นที่วงสีน้ำเงิน..จะถูกบีบอัด ..........ถ้าค่า attack ตั้งค่าไว้สูง ๆ (หน่วงเวลามาก ๆ )....ส่วนเกินของเสียงในพื้นที่วงสีเหลืองจะถูกบีบอัด ……การบีบอัดและการลดทอนจะรายงานให้ทราบโดยแสดงออกมาเป็นแถบไฟในกรอบเหลี่ยมสีชมพู...รูปบน ......ลอง ๆ ทำความเข้าใจดูนะครับ.....จบเรื่อง attack .....ขึ้นเรื่อง release .....release เป็นปุ่มปรับเพื่อให้กระบวนการบีบอัดหยุดทันทีที่หมดเสียงที่เกิน เกณฑ์......หรือจะให้เครื่องหน่วงเวลาการบีบอัดออกไปอีก......สังเกตได้ง่าย ๆ จากแถบไฟในกรอบเหลี่ยมสีชมพู(GAIN REDUCTION)......ถ้าเราปรับ release ไว้ที่ค่าต่ำ ๆ จะหมายถึง...เมื่อบีบอัดแล้ว...หยุดการบีบอัดทันที่.... สังเกตแถบไฟจะแสดง ...และจะหดหายไปในทันที ......ถ้าเราปรับค่า release ไว้สูง ๆ .....สังเกตแถบไฟที่ขึ้นมาตอนเกิดการบีบอัด ...จะไม่ลดลงในทันที.......แต่จะค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ (ช้ามาก...ช้าน้อย...ขึ้นอยู่กับค่า release)... ........แล้วจะปรับ อย่างไรล่ะ....ให้เหมาะสม.....อันนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้น บนเวที..ขณะนั้น......เสียงนักร้องที่กระแทกกระทั้น.... ความเร็วของเพลง ....ชนิดของเครื่องดนตรีที่จะทำการ compress .......ความไวของไมโครโฟน........และอื่นๆ...เป็นองค์ประกอบ .....คงต้อง แนะนำว่าต้องพึ่งตัวเองแล้วละครับ...ในการปรับแต่ง.....แต่งให้เหมาะสมกับ เครื่องบนเวทีของคุณนั่นแหละเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด. ..โดยอาศัยหลักการทำ งานที่ผมเขียน...มาเป็นหลักเกณฑ์ในการปรับแต่ง ..........ลองดูนะครับ